นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
ให้เกียรติเป็นประธานเปิดการเสวนา เรื่อง
“โลจิสติกส์ผ่าวิกฤตอุตสาหกรรมไทย” จัดโดย
กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) กระทรวงอุตสาหกรรม
เพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิดและประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์ที่ได้รับการยอมรับและกว้างขวางในวงการโลจิสติกส์
เพื่อร่วมกันพัฒนาโลจิสติกส์ของไทยให้มีความก้าวหน้าสู่ระดับโลกโดยเร็ว
และยั่งยืนต่อไป เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2550 ณ ห้องประชุม ชั้น 1
กพร. |
|
นายอนุสรณ์ เนื่องผลมาก
อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่
กล่าวรายงานการจัดเสวนา |
นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช
ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม (กลาง) พร้อมด้วยนายธานินทร์ ผะเอม
ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นายอิสระ
ว่องกุศลกิจ ประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบโลจิสติกส์
หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และนายธนิต โสรัตน์
รองเลขาธิการสายงานเศรษฐกิจ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
ร่วมเสวนาเรื่อง "โลจิสติกส์ผ่าวิกฤตอุตสาหกรรมไทย"
ดำเนินรายการโดย ผศ.ดร.วันชัย รัตนวงษ์ และ
ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย จากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
กล่าวว่า สืบเนื่องจากยุทธศาสตร์ของแผนบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2548 -
2551 ได้กำหนดให้การพัฒนาระบบโลจิสติกส์เป็นวาระแห่งชาติ
โดยให้ความสำคัญในการพัฒนาโลจิสติกส์ทั้งระบบ
เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจจากอุตสาหกรรม
โลจิสติกส์และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง กระทรวงอุตสาหกรรม
ในฐานะเป็นผู้รับผิดชอบหลักในยุทธศาสตร์การปรับปรุงประสิทธิภาพระบบโลจิสติกส์ในภาคการผลิต
จึงกำหนดแนวทางในการเร่งดำเนินการเพื่อยกระดับประสิทธิภาพและผลิตภาพของภาคอุตสาหกรรม
ทั้งด้านความสามารถทักษะแรงงาน
การพัฒนาปัจจัยสนับสนุนในการเพิ่มผลิตภาพ และที่สำคัญ คือ
การบริหารจัดการโลจิสติกส์ในสถานประกอบการที่เชื่อมโยงถึงกันตลอดโซ่อุปทานเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
รวมถึงส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือในลักษณะเครือข่ายวิสาหกิจ
มีระบบตรวจสอบย้อนกลับเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าในต่างประเทศ
สร้างความพร้อมให้ผู้ประกอบการไทยสามารถนำเทคโนโลยีสารสนเทศโลจิสติกส์ที่ทันสมัยมาประยุกต์ใช้
ตลอดจนยกระดับการบริหารจัดการโลจิสติกส์สำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
เพื่อให้การพัฒนาโลจิสติกส์อุตสาหกรรมมีบูรณาการและสอดคล้องกับสภาวการณ์ของประเทศ
ตลอดจนความต้องการของภาคเอกชน |
โดยกระทรวงอุตสาหกรรม ได้กำหนดยุทธศาสตร์และแผนที่เส้นทาง
(Roadmap) การพัฒนา
โลจิสติกส์และการจัดการโซ่อุปทานที่สอดคล้องกับการพัฒนาอุตสาหกรรมยุคใหม่
รวมทั้งได้ร่วมกับสภาอุตสาห กรรมแห่งประเทศไทย
สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และภาคการศึกษา จัดทำแผนปฏิบัติการพัฒนาระบบ
โลจิสติกส์อุตสาหกรรม (ปี 2550 – 2554) ซึ่งกำหนดไว้ 4 ด้าน ได้แก่
การเชื่อมโยงระหว่างองค์กรตลอดโซ่ อุปทาน (Supply Chain Optimization)
การปรับปรุงประสิทธิภาพโลจิสติกส์ภายในองค์กร (Internal Process
Improvement) การพัฒนาขีดความสามารถด้านโลจิสติกส์ (Logistic Capacity
Building)
และการสร้างปัจจัยเอื้อเพื่อสนับสนุนการประกอบธุรกิจของภาคอุตสาหกรรม
(Industrial Trade Facilitation) |
นายอนุสรณ์ เนื่องผลมาก
อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กล่าวว่า กรมอุตสาห
กรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.)
ในฐานะที่เป็นหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากกระทรวงอุตสาหกรรม
ให้ดำเนินภารกิจด้านการส่งเสริมและพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรม
ได้ดำเนินกิจกรรมที่สำคัญที่เป็นรูปธรรมในขณะนี้
ดังนี้ |
1. จัดทำแนวทางและวิธีการจัดการโลจิสติกส์ที่ดีที่สุด (Best
practice) ของอุตสาหกรรมเหล็กและอุตสาหกรรมเซรามิก
ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายในแผนปฏิบัติการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรม
รวมถึงนำร่องการพัฒนาประสิทธิภาพโลจิสติกส์เชิงลึกในกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าว
|
2. สนับสนุนให้สถานประกอบการเหมืองแร่และอุตสาหกรรมพื้นฐาน
มีการปรับปรุงประสิทธิภาพการจัดการโลจิสติกส์
รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการจัดการโลจิสติกส์ภายในโรงงาน |
3. พัฒนาระบบตลาดสินค้าอุตสาหกรรมออนไลน์
หรือตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์ภายใต้ชื่อเว็บไซต์ www.industry4u.com
ซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมผู้ซื้อ ผู้ขาย ผู้ผลิต ผู้ให้บริการโลจิสติกส์
เพื่อการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์
และแลกเปลี่ยนความเห็นของผู้ประกอบการที่เป็นสมาชิกของระบบ
โดยสมาชิกสามารถสืบค้นข้อมูลวัตถุดิบ สินค้าอุตสาหกรรม และการบริการ
อีกทั้งเกิดการรวมกลุ่มการซื้อขาย
เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองและซื้อในปริมาณที่จำเป็น
ทำให้การประกอบธุรกิจเกิดความประหยัดและรวดเร็ว
ช่วยลดต้นทุนการจัดซื้อจัดหา
และการจัดจำหน่ายวัตถุดิบและสินค้าอุตสาหกรรม
โดยระบบดังกล่าวได้เปิดให้บริการแล้วตั้งแต่เดือนเมษายน 2550 ที่ผ่านมา
|
“การเสวนาในครั้งนี้
จึงเป็นวาระสำคัญอีกวาระหนึ่งที่ภาครัฐและภาคอุตสาหกรรมจะได้นำเสนอ
แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและประสบการณ์
เพื่อร่วมกันพัฒนาโลจิสติกส์ของไทยให้มีความก้าวหน้าสู่ระดับโลกโดยเร็ว
และยั่งยืนต่อไป” นายปิยะบุตร
กล่าว |